คลังเก็บป้ายกำกับ: การตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์

เทคนิคการตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาโท

การตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์มีจุดประสงค์ เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบถึงเนื้อหาสาระของวิทยานิพนธ์ ให้มีความกระชับได้ใจความสำคัญ อาจกล่าวได้ว่าการตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่ดีจะเป็นจุดดึงดูดให้เกิดความน่าสนใจที่จะหยิบวิทยานิพนธ์เล่มนั้นขึ้นมาอ่าน ซึ่งการที่ตั้งชื่อให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ
ไม่ซ้ำกับคนอื่น มีการตั้งชื่อที่ชัดเจนสอดคล้องกับสาขาที่ศึกษา จะทำให้งานวิทยานิพนธ์ของท่านน่าอ่านมากยิ่งขึ้น เทคนิคในบทความนี้จึงที่จะมาเป็นตัวช่วยใหม่ ในการตั้งชื่อหัวข้อวิทยานิพนธ์ให้มีความน่าสนใจ และเป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้วิทยานิพนธ์การตั้งหัวข้อสมบูรณ์แบบมากขึ้น

ภาพจาก pexels.com

วิธีง่ายๆ สำหรับการตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาโท

1.ความสอดคล้องกับงาน หรือสาขาที่เรียน

ตัวของผู้วิจัยเองต้องรู้ตัวเองว่าสาขาที่เรียนมีหัวข้ออะไรบ้างที่น่าสนใจ เหมาะสมที่จะนำมาศึกษา การตั้งชื่อเรื่องหรือไม่ จึงเป็นแนวทางในการตั้งคำถาม เพื่อหาคำตอบโดยใช้กระบวนการวิจัยนั้นเอง และส่วนประกอบของชื่อเรื่องส่วนใหญ่จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงสาขาวิชาที่ที่วิจัยเรียนมานั่นเอง

2.การสะท้อนปัญหา หรือประเด็นที่จะศึกษา

ก่อนที่จะตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ได้ จะต้องรู้ปัญหาที่ต้องการอยากจะรู้ ซึ่งก่อนมีการกำหนดหัวข้อวิทยานิพนธ์ได้นั้น ท่านต้องทำการศึกษาหรือทฤษฏีที่จะนำมาศึกษามาก่อนเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงประเด็้นที่จะศึกษา และใช้ประเด็นดังกล่าวในการประกอบการตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ของท่าo

3.หัวข้อต้องมีความทันสมัย และก่อให้เกิดประโยชน์

การเลือกหัวข้อให้ทันสมัย เป็นอีกปัญหาที่ต้องพอเจอ สำหรับคนที่จะทำวิทยานิพนธ์ ซึ่งจะต้องเลือกหัวข้อที่กำลังเป็นประเด็นปัญหาที่ร้อนแรงอยู่ ณ ตอนนั้นเป็นหลัก เพื่อเพิ่มการดึงดูดให้คนทั่วไปหันมาสนใจงานของท่าน

4.กำหนดกลุ่มตัวอย่าง และพื้นที่ในการศึกษาให้ชัดเจน 

กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มประชากรบางส่วนที่ท่านสนใจจะศึกษา ส่วนพื้นที่ในการศึกษา คือ ขอบเขตของงานที่จะศึกษา ท่านสามารถนำกลุ่มตัวอย่างและพื้นที่ในการศึกษาไประบุต่อท้ายในหัวข้อวิทยานิพนธ์ของท่านได้ เพื่อให้หัวข้อข้อวิทยานิพนธ์มีความชัดเจนในขอบเขตการทำงานมากยิ่งขึ้น 

ภาพจาก pexels.com

5.การลงมือทำได้จริง

หัวข้อวิทยานิพนธ์ควรที่จะตั้งอยู่บนความเป็นจริง และเกิดปัญหานั้นขึ้นจริง  เช่น การตั้งหัวข้อชื่อเรื่อง “ความสัมพันธ์การใช้อำนาจบริหารของผู้นำในองค์กรบริษัท  ABC จำกัด (มหาชน)” ซึ่งการตั้งหัวข้อเช่นนี้ ผู้วิจัยสามารถลงมือทำหัวข้อวิทยานิพนธ์นี้ได้จริง เนื่องจากเกิดปัญหาการสร้างความสัมพันธ์ในการปฏิบัติงาน ดังนั้นจึงต้องศึกษาสาเหตุปัญหา และสัมภาษณ์ทั้งพนักงานฝ่ายปฏิบัติว่าอยากได้ผู้นำในรูปแบบไหน และสัมภาษณ์ผู้นำว่ามีการสร้างสัมพันธ์ในสถานที่ทำงานอย่างไร ซึ่งนำมาถึงการแก้ไขปัญหาดังกล่าว การตั้งหัวข้อชื่อเรื่องดังกล่าวจึงเกิดขึ้น   

จึงสรุปได้ว่า การมีเทคนิคการตั้งหัวข้อที่ดี ถือว่าตัวของผู้วิจัยเองมีความรู้ในเรื่องที่ศึกษา และยังเป็นการลดเวลาในการทำส่วนอื่นๆ ซึ่งทำให้งานเสร็จทันเป็นไปตามแผนการของผู้วิจัย ตรงตามเป้าหมายวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การตั้งชื่อวิทยานิพนธ์ต้องมีความน่าสนใจ มีความเฉพาะตัวของเรื่องที่ทำการศึกษา แต่ต้องไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไป และหัวข้อตรงบ่งชี้ถึงสาระสำคัญได้อย่างชัดเจน

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

3 เทคนิค การตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ตั้งอย่างไรให้ผ่านง่ายๆ

ภาพจาก pexels.com

ปัญหาอันดับต้นๆ ของการทำวิทยานิพนธ์ คือการตั้งหาข้อ จะตั้งหัวข้ออะไรดีที่ให้มีความน่าสนใจที่จะไม่ซ้ำกับคนอื่น และทำอย่างไรให้ถูกใจอาจารย์ที่ปรึกษา เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นใบเบิกทางไปสู่ผลสำเสร็จ หัวข้อที่ตั้งต้องมีความกระชับ กะทัดรัด และแสดงถึงประเด็นที่ต้องการจะศึกษา บทความนี้จะมานำเสนอ 3 เทคนิค การตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ตั้งอย่างไรให้ผ่านง่าย ๆ กันคะ

1.ตั้งชื่อตามสิ่งที่ตนเองสนใจศึกษา

ให้ลองคิดทบทวนว่าคุณสนใจสิ่งใด แล้วสิ่งที่สนใจตรงกับสาขาวิชาที่ศึกษาหรือไม่ เนื่องจากในแต่ละสาขาจะหลักการแนวคิดเป็นของตัวเอง หากตั้งให้ตรงได้จะทำให้คุณหมดปัญหาในขั้นตอนแรกไปได้ ดังนั้นชื่อเรื่องจึงควรที่จะมีความชัดเจน รัดกุม สื่อไปถึงความหมายของเนื้อหา ระบุถึงปัญหา เช่น ศึกษาอยู่ในสาขาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ก็ควรที่จะศึกษาสถานการณ์ในปัจจุบันว่ามีแนวโน้มที่มีความเกี่ยวข้องอะไรบ้าง ให้อยู่ในกรอบงานที่จะทำ และสอดคล้องกับสถานการณ์

2.ทำในสิ่งที่ถนัดเชี่ยวชาญ

หากหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์ที่คุณทำนั้น เป็นสิ่งที่คุณถนัด มีความชำนาญ หรือตรงกับสายอาชีพจะเป็นการต่อยอดผลงานได้ดี สามารถนำมาต่อยอดจากงานวิจัยเล่มเดิมที่เคยทำมาแล้ว วิธีนี้จะเป็นการทำให้คุณคิดหัวข้อได้เร็ว และเลือกหัวข้อได้ไว เนื่องได้มีการทบทวนในสิ่งที่ทำมาแล้วบ้างบางส่วน แล้วนำไปเสนออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อหาแนวทางในการปรับหัวข้อวิทยานิพนธ์ของคุณได้ 

ภาพจาก pexels.com

3.ตั้งหัวข้อให้มีการเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน

จากสถานการณ์ต่างๆ ในปัจจุบัน ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ที่น่าใจมากมายขึ้น คุณอาจจะนำเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นประเด็นในการตั้งชื่อเรื่องของคุณ ให้คุณทำการคาดการณ์ถึงกระแสนิยม แนวโน้มเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น จะทำให้คุณมีผลข้อมูลมากพอที่ใช้ในการศึกษา และสามารถนำผลของข้อมูลที่ได้ไปปรับใช้ได้ทันที ซึ่งจะเป็นการสอดคล้องกับสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น หรือคาดว่าที่จะเกิดขึ้น 

ภาพจาก pexels.com

ดังนั้น การที่เลือกหัวข้อให้เข้ากับตัวเองที่เหมาะสมจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี และควรจะเลือกหัวข้อให้อยู่ในกรอบของงานที่จะทำให้มีความหมายที่ชัดเจน หากทำตาม 3 เทคนิคนี้ได้ ก็จะทำให้คุณนำหน้าหลายๆ คนที่ยังไม่ทำตามได้ เพื่อให้ท่านได้ทำงานวิจัยที่ท่านชื่นชอบ เป็นประเด็นเนื้อหาให้เข้ากับปัจจุบัน นำไปปรับใช้ต่อยอดให้เกิดความคุ้มค่าที่สุด

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

4 เทคนิค การตั้งหัวข้อการทำ IS ตั้งอย่างไรให้ผ่านง่ายๆ

ภาพจาก canva.com

ก่อนที่จะรู้เทคนิคการตั้งหัวข้อการทำ IS ก็ควรที่จะรู้ก่อนว่า IS คืออะไร

ในระดับการศึกษาปริญญาโทนอกจากจะมีการทำวิทยานิพนธ์ที่เป็นงานหลักแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะต้องจัดทำคือ การค้นคว้าอิสระ หรือที่นักศึกษาปริญญาโทเรียกติดปากว่า IS เป็นกระบวนการให้นักศึกษาทำการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองอย่างมีอิสระ ทำให้ตัวผู้ศึกษามีประสิทธิภาพในการพัฒนาความคิด สามารถเปิดโลกกว้างอย่างอิสระ ในเรื่องของประเด็นที่ตนเองสนใจ โดยการดำเนินการค้นคว้า แสวงหาความรู้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย มีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ การอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อนำไปสู่การสรุปองค์ความรู้ จากนั้นก็หาวิธีการที่เหมาะสมในการสื่อสารนำเสนอให้ผู้อื่นได้รับทราบ และสามารถนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าไปทำประโยชน์แก่สาธารณะ บทความนี้จะมาบอกเทคนิคในการตั้งหัวข้อ IS อย่างไรให้ผ่านง่ายๆ ซึ่งนักศึกษาปริญญาโทที่กำลังจะเริ่มทำ IS สามารถนำมาปรับใช้ในงานของตนได้

ภาพจาก pexels.com

4 เทคนิคการตั้ง หัวข้อการทำ IS ตั้งอย่างไรให้ผ่านง่าย ๆ

1.สนใจในปัญหาในเรื่องใดให้นำมาไปหัวข้อ

ใครจะรู้ว่าปัญหารอบตัวเรานี่แหละ สามารถนำมาเป็นหัวของ IS ได้ เริ่มจากปัญหาที่เกิดขึ้นจาก
รอบๆ ตัวเรา เกิดจากสิ่งที่คุณสงสัย หัวข้อในการทำ IS ที่ดีต้องไม่ซ้ำเรื่องกับคนอื่นหรือเป็นงานที่เคยมีการทำมาก่อนแล้ว เพราะว่ามันจะไม่เป็นการตอบโจทย์ปัญหาแก้ไขในข้อสงสัยของเราได้ โดยที่คุณจะต้องจับประเด็นหลักของข้อสงสัยให้มีความเฉพาะเจาะจง ชัดเจนว่าต้องการที่ค้นคว้าอะไร หากเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ หรือมีแนวการศึกษาทดลองที่แปลกใหม่ ต้องเป็นสิ่งซึ่งแสดงอกกถึงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ด้วย คำนึงถึงประโยชน์ของผู้ที่จะได้รับจากศึกษา เพราะจะเป็นการเพิ่มคุณค่าของผลงานที่ได้จากการค้นคว้าอย่างอิสระของคุณ หากทำแล้วไม่เกิดแนวคิดความรู้ใหม่ๆ จากการตั้งหัวข้อจะทำให้เป็นการลดคุณค่าของการทำ IS ในหัวข้อดังกล่าว

2. ชื่อหัวข้อที่แปลกใหม่เป็นจุดประกายความคิดสร้างสรรค์

การตั้งหัวข้อ IS นอกจากจะเป็นการตั้งให้ตรงตามจุดสนใจของตนเองแล้ว การคิดหัวข้อที่แปลกใหม่เป็นสิ่งที่จำเป็นทำให้คนที่สนใจเข้ามาอ่านในหัวข้อของคุณที่จะนำเสนอ หากเป็นหัวข้อที่ไม่มีความแปลกใหม่ทันสมัยจะเป็นการทำให้ทำเรื่องเดิมซ้ำๆ ไม่มีความพัฒนาก้าวหน้า ในยุคสังคมในปัจจุบันมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การที่คิดหัวข้อแปลกใหม่ก็จะทำให้งานของคุณเป็นไปตามยุคสมัย หากหัวข้อมีความล้าหลัง หรือมีหัวข้อที่ซ้ำกับคนที่เคยทำมาแล้ว จะทำให้งานของคุณขาดประสิทธิภาพ ไม่เกิดการพัฒนา หัวข้อ IS ของคุณอาจมาจากหลายๆ แหล่งที่มา อาจเกิดมาจากการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ การเข้าไปเยี่ยมชมตามสถานที่ต่างๆ ฟังจากการบรรยายทางวิชาการ จากสื่อต่างๆ เหล่านี้ก็สามารถทำให้คุณนำมาประกอบการตั้งหัวข้อ IS ของคุณได้

3. หัวข้อที่ดีควรมีความชัดเจนของปัญหาที่จะค้นคว้า

หัวข้อที่มีความชัดเจนจะสื่อไปถึงสิ่งที่คุณกำลังจะทำ นำไปสู่การศึกษาค้นคว้าแบบมีแบบแผน มีหลักการขั้นตอนอย่างชัดเจน ทำให้เมื่อถึงการลงมือทำจริงจะสามารถลงมือทำได้อย่างรวดเร็วถูกต้องตามหลักวิชาการ การศึกษาค้นคว้าจะไม่มีการสับสนวกวน ช่วยให้ลดระยะเวลาในการทำงาน ทำให้มีเวลาเพียงพอในการไปทำส่วนอื่นๆ เพราะชื่อหัวข้อเปรียบเสมือนแนวทางจะจะกำหนดแผนการต่างๆ หากไม่มีความชัดเจนจะทำให้คุณเสียเวลาในการทำ สิ้นเปลืองต่องบประมาณที่ใช้ เวลาในการทำก็จะลดลงไปด้วยทำให้งานไม่เสร็จตามที่กำหนด เพราะฉะนั้นความชัดเจนของปัญหาเป็นการตัดปัญหาที่จะมีผลตามมา

ภาพจาก pexels.com

4. หัวข้อต้องมีประโยชน์ และมีคุณค่าในตัว

หากตั้งหัวข้อไปแล้วไม่ทำให้เกิดประโยชน์เป็นสิ่งที่ทำการศึกษาค้นคว้ามานั้นทำไปแล้วสูญเปล่า เพราะเรื่องที่คุณทำควรที่จะสร้างประโยชน์ให้กับสังคมส่วนรวมได้ สามารถนำมาช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมให้ดีขึ้น การเขียนหัวข้อที่ไม่ดึงดูด ทำให้ไม่เกิดความน่าสนใจ ดังนั้นการตั้งหัวข้อต้องตอบโจทย์การใช้งานของผู้ที่จะเข้ามาอ่านให้ได้มากที่สุด ซึ่งคุณจะต้องใส่ใจถึงปัญหาของคนที่จะเข้ามาอ่าน ว่า IS ที่จัดทำนั้นจะเป็นการสร้างประโยชน์แก่ผู้ที่จะเข้ามาอ่านได้ การเขียนหัวข้อที่นึกถึงคนอ่านก็จะช่วยให้งานของคุณดูมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น ผู้อ่านจะใช้เวลาในการอ่านบทความที่ให้ข้อมูลเชิงลึกมากกว่าบทความทั่วไป อาจกล่าวได้ว่าหัวข้อเรื่องนัั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งผู้จัดทำจะต้องมองให้เห็นถึงผลลัพธ์ในด้านประโยชน์จากการศึกษาในเรื่องที่ทำ ว่าจะส่งผลต่อคนในสังคมให้ได้รับประโยชน์มากที่สุด หากไม่นึกถึงประโยชน์ที่จะได้รับงานที่ได้ทำลงไป ก็คงจะเป็นเพียงกระดาษหรือรายงานที่รวบรวมมาไว้ในเล่ม IS เพียงเท่านั้น

จึงสรุปได้ว่าหัวข้อ IS เป็นการตั้งชื่อเพื่อให้ดึงดูดให้คนอื่นเข้ามาอ่าน ซึ่งผู้ทำจะต้องยึดหลักความมีประโยชน์ทั้งต่อตัวของผู้ทำเอง และสังคม ที่จะได้รับหากตั้งมาแล้วลงมือทำไปไม่เกิดประโยชน์จากการนำสิ่งที่เรียนมาใช้จะส่งผลต่อการลดคุณค่าของการทำ IS ในหัวข้อนั้น

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

3 เทคนิค การตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่น่าสนใจ

หัวข้อวิทยานิพนธ์เป็นสิ่งแรกๆ ที่เราควรจะให้ความสำคัญ ว่าจะต้องตั้งอย่างไรให้เกิดความน่าสนใจ ทำให้คนที่สนใจในเรื่องแบบเดียวกับเราเข้ามาอ่านงานของเรา หรือจะทำอย่างไรให้งานของเราไปสะดุดตาให้ผู้อื่นเข้ามาอ่านงานของเรา นอกจากการจะตั้งหัวข้อให้ผ่านแล้ว ควรที่จะตั้งให้มีความน่าสนใจด้วยไม่เช่นนั้นแล้วงานของคุณก็จะได้รับการเปิดอ่านที่น้อยมากหรือไม่มีการเปิดอ่านเลย ทำให้สิ่งที่ทำมานั้นไม่เกิดประโยชน์อะไรแม้ว่าสิ่งที่ได้ทำมีประโยชน์มากแค่ไหน แล้วจะตั้งอย่างไรให้น่าสนใจ บทความนี้จะมาบอกเทคนิคดีๆ ที่จะทำให้หัวข้อวิทยานิพนธ์มีความน่าสนใจมากขึ้น มาฝากกันค่ะ

ภาพจาก pexels.com

1.ตั้งตามสิ่งที่เราสนใจ

สิ่งที่เราสนใจนี้แหละ!! จะเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์อย่างดีให้กับเรา เพราะสิ่งที่เราสนใจมักจะเกิดจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับเรา หรือเป็นสิ่งที่สนใจ อาจเกิดจากการได้เรียนในสาขา หรือจากประสบการณ์ที่ได้พบเจอ นำสิ่งที่น่าสนใจเหล่านั้นมาหางานที่เกี่ยวข้อง มาทบทวน แล้วกำหนดปัญหา ถือเป็นขั้นตอนแรกที่เราจะต้องทำ ซึ่งงานวิทยานิพนธ์ที่จะทำมันจะยากหรือง่าย ขึ้นอยู่กับปัญหาหากปัญหาที่จะทำมันยากการที่จะดำเนินการก็จะยากตามไปด้วย ปัญหาอาจจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วไป ไม่เฉพาะเจาะจงเราจะต้องบอกให้ได้ว่าประเด็นหลักที่สำคัญของงานนี้คืออะไร แล้วนำมาตั้งเป็นชื่อเรื่อง และปัญหาที่มีความเฉพาะเจาะจงจะต้องระบุถึงปัญหานั้นโดยตรง อาจเกิดจากข้อย่อยๆ ที่เกิดจากปัญหาที่ไม่เจาะจงนำมาเป็นปัญหาแล้วจะต้องเขียนให้มีความชัดเจน และครบคลุมทุกปัญหาในวัตถุประสงค์ของงานวิจัย และจะมีกี่ข้อก็ได้ขึ้นอยู่กับประเด็นที่เราสนใจ

2.สิ่งที่แตกต่างทำให้หัวข้อน่าสนใจ

หัวข้อวิทยานิพนธ์หากตั้งแล้วไม่แตกต่างกับสิ่งที่คนอื่นเคยทำ จะทำให้งานที่เราทำกลายเป็นสิ่งที่ทำคนอื่นคิดว่าสิ่งที่เราทำเป็นการลอกเรียนแบบผลงานของคนอื่นได้ ดังนั้นเราควรที่จะตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ให้มีความแตกต่างจากสิ่งเดิมที่เคยมีคนทำมาแล้ว จะทำให้งานของเรามีความน่าสนใจมากขึ้น หากหัวข้อที่ไม่แตกต่างจะเป็นการทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำๆ ซึ่งไม่ทำให้เกิดประโยชน์ใหม่ๆ สิ่งที่แตกต่างจะทำให้งานที่ได้ บ่งบอกถึงความรู้ที่เรามีนั้นแตกต่างจากคนอื่น โดยก่อนจะทำให้แตกต่าง เราจะต้องมีความรู้เดิมเป็นพื้นฐาน มีความชำนาญในเรื่องนั้นก่อน จะทำให้งานที่ได้มีความน่าเชื่อถือเป็นที่ยอมรับ หากไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น จะทำให้งานที่ได้ไม่มีประสิทธิภาพ เราจะต้องทำการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของเรา เพื่อนำมาเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมงานวิจัยของเรา นำมาหาข้อที่จะสามารถมาต่อยอดเป็นงานของเราได้ให้มีความแตกต่างจากสิ่งเดิม เพื่อเพิ่มให้งานมีประสิทธิภาพครบถ้วนสมบูรณ์

ภาพจาก pexels.com

3. ตั้งให้อยู่ในสถานการณ์ปัจจุบัน

หัวข้อควรจะตั้งให้เห็นถึงปัจจุบัน หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้มากที่สุด จะทำให้งานของเรามีความทันสมัย และเกิดประโยชน์กับสิ่งที่จะนำไปใช้ให้มากที่สุด ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในทันที หากตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจะทำให้ไม่เกิดประโยชน์กับผู้ที่จะนำไปใช้ เพราะผู้อ่านไม่เข้าใจ จึงทำให้สิ่งที่ทำลงไปสูญเปล่าได้ เพราะในปัจจุบันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมามากขึ้น เราเองก็จะต้องเข้าถึงและเข้าใจสังคมในยุคปัจจุบันด้วย ว่ามีอะไรกำลังเป็นที่น่าสนใจอยู่ในขณะนั้น ซึ่งต้องเป็นสิ่งที่เราสนใจ และถนัดในเรื่องนั้น หรือไม่หากเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนั้นจริง แต่เป็นสิ่งที่เราไม่สนใจจะทำให้การทำงานของเรานั้นไม่มีความสุข จะเป็นการทำตามสมัยไปไม่เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองด้วยเช่นกัน จนกลายเป็นว่าทำงานนั้นไปเพื่อให้จบการศึกษา โดยที่เรานั้นไม่ได้ประโยชน์หรือนำความรู้ที่มีมาใช้เลย

ภาพจาก pexels.com

ดังนั้น การตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ให้มีความน่าสนใจเป็นสิ่งที่จะดึงดูดให้มีผู้อ่านหลงเข้ามาอ่านมากขึ้น แม้ว่าจะไม่ใช่จุดประสงค์หลักในการหาข้อมูล แต่จะทำให้ผู้อ่านสงสัยว่าสิ่งที่เราทำนั้นมีอยู่ แล้วเกิดความคิดอยากที่จะทำในสิ่งที่คล้ายกับงานของคุณ และนำงานวิจัยของคุณมาเป็นต้นแบบ ต่อยอดในงานใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากคุณอยากให้งานหัวข้อวิทยานิพนธ์เป็นที่น่าสนใจลองนำเอาเทคนิคที่ได้กล่าวมาไปปรับใช้กับวิทยานิพนธ์ของคุณดู ก็จะทำให้งานของคุณมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นค่ะ

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

3 เทคนิคการตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาโท

ภาพจาก pexels.com

หัวข้อวิทยานิพธ์ควรที่จะตั้งอย่างไรเป็นปัญหาแรกของผู้ที่ทำวิทยานิพนธ์ต้องเจอ จะตั้งอย่างไรให้มีความน่าสนใจ เกี่ยวข้องกับอะไรดี หัวข้อที่ตั้งไปจะผ่านความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาหรือไม่ เมื่อลงมือทำไปแล้วจะซ้ำกับงานที่ได้ทำลงไปหรือไม่ แล้วจะทำอย่างไรให้หัวข้อวิจัยนั้นมีความเฉพาะเจาะจงสื่อถึงความหมายที่ต้องการจะทำต้องประเด็นปัญหาที่สนใจที่บ่งบอกให้ทราบถึงประเภทของการวิจัยที่กำลังจะทำอยู่ ซึ่งบทความนี้จะเป็นการนำเสนอ 3 เทคนิคการตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ที่สามารถนำไปปรับใช้ในวิทยานิพนธ์ของคุณได้

1.ตั้งหัวข้อให้ตรงกับสาขาที่เรียน และตั้งให้ถูกใจอาจารย์

การตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์นั้น ควรที่ตั้งอยู่ในกรอบของสาขาที่ตัวของผู้ทำศึกษาอยู่ เพื่อจะเป็นการดึงความรู้ที่ได้ศึกษามานำมาประยุกต์กับงานที่กำลังจะทำ เป็นการแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เรียนมานั้นได้รับประโยชน์อะไรจากที่เรียนมา แล้วจะสามารถนำสิ่งที่เรียนมาใช้ให้เกิดประโยชน์หรือไม่ ควรที่จะศึกษางานวิทยานิพธ์ของคนอื่นที่ทำผ่านมาแล้วด้วย เพื่อเป็นการลดปัญหาการทำเรื่องเดิมซ้ำๆ แล้วนำหัวข้อที่เราตั้งไปปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษาของความเห็นชอบก่อนที่จะลงมือทำ ถ้าลงมือทำไปแล้วเกิดหัวข้อไม่ผ่านจะทำให้ตัวของผู้ทำเสียเวลาในการทำ และสิ้นเปลืองงบประมาณที่ใช้ไป 

ภาพจาก pexels.com

2.การใช้วิธีการเก็บข้อมูลให้เป็นประโยชน์

ขั้นตอนในการเก็บข้อมูลถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญ หลังจากได้ปัญหาวัตถุประสงค์และสมมติฐานในการวิจัยแล้ว การรวบรวมข้อมูล การตรวจสอบข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล คือการที่ผู้วิจัยพยายามรวบรวมหลักฐานต่างๆ เพื่อนำมาพิจารณา วิเคราะห์วิจารณ์ แล้วสรุปผล มาเป็นคำตอบปัญหาการวิจัย ว่าเป็นไปตามที่ตั้งสมมติฐานไว้หรือไม่ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลมีหลากหลายวิธีที่ใช้กันไม่ว่าจะเป็น การเก็บรวบรวมข้อมูลต้องเป็นไปอย่างถูกต้องเที่ยงตรง นำมาสู่การทำวิทยานิพนธ์ได้อย่างถูกต้อง ทำให้สามารถตอบคำถามของปัญหาที่สนใจได้อย่างชัดเจน

ภาพจาก canva.com

3. ตั้งหัวข้อให้ทันกับยุคสมัย

ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทำให้การค้นหาข้อมูลเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน หากตั้งหัวข้อที่มีความทันสมัยกับยุคนั้นๆ ก็เป็นอะไรที่ทำให้งานของคุณมีการดึงดูดการเข้าถึงได้ง่าย ปัจจัยที่ทำให้เกิดหัวข้อใหม่ๆ เป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องนำมาประกอบการตั้งชื่อหัวข้อในการทำวิทยานิพนธ์ หากเราเกิดแนวคิด นวัตกรรมใหม่ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น จะทำให้งานของคุณกลายไปที่พูดถึงในวงกว้างได้ 

ภาพจาก pexels.com

3 เทคนิคที่ได้กล่าวมานั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยพัฒนางานของคุณให้ก้าวหน้าไม่อยู่กับที่ มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนที่จะทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทให้สำเร็จ เพราะหัวข้อที่จะทำจะเป็นตัวกำหนดขอบเขตของงานวิทยานิพนธ์ที่ทำ หากหัวข้อที่ทำไม่มีความชัดเจนจะทำให้งานของคุณประสบความสำเร็จช้ากว่าคนอื่นๆ ได้

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

การทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทไม่ยากอย่างที่คิด

ภาพจาก www.pixabay.com

ในปัจจุบันการที่จะเข้าถึงการศึกษาในระดับปริญญาโทไม่ใช่เรื่องยาก ทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ง่าย เมื่อคุณมีความพร้อมในด้านเวลา และมีทุนทรัพย์สำหรับการเรียนที่เพียงพอต่อการศึกษา คุณก็สามารถเลือกแผนการศึกษาได้ตามความสนใจทั้งภาคปกติ และภาคพิเศษ ซึ่งสถาบันการศึกษาทุกหลักสูตรจะมีการกำหนดให้ตัวผู้เรียนต้องสร้างผลงานทางวิชาการอย่างน้อยๆ 1 ชิ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ไปพัฒนาประเทศ และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันให้เกิดประโยชน์สูงสุด

แต่หลายๆ คนก็ต้องเสียน้ำตาให้กับการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท อาจเป็นเพราะระยะเวลาที่จำกัดในการทำวิทยานิพนธ์ ติดภาระจากงานที่รับผิดชอบอยู่ หรือแม้กระทั่งปัญหาที่กวนใจหลายๆ คนไม่ว่าจะเป็นชื่อเรื่องวิจัยที่ไม่ชัดเจน การตั้งคำถามการวิจัย และวัตถุประสงค์การวิจัยที่ไม่ตรงประเด็น การทบทวนวรรณกรรมที่ปีเก่าเกินไป แบบสอบถามที่ยังไม่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย จนต้องรื้อเล่มวิทยานิพนธ์ทำใหม่ ทำให้เราเสียเวลาไปกับการทำวิทยานิพนธ์ จนไม่เสร็จทันเวลาที่กำหนดไว้ ผู้เขียนจึงมีเคล็ดลับการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ที่ไม่ยากอย่างที่คิดมาสรุปให้อ่านดังนี้

ภาพจาก www.pixabay.com

ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าวิทยานิพนธ์นั้นประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ ส่วนนำของเรื่อง ส่วนของเนื้อเรื่อง และส่วนประกอบท้ายเรื่อง ซึ่งแต่ละองค์ประกอบผู้เขียนจะสรุปและให้เคล็ดลับแทรกเข้าไปเพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจง่ายๆ นะคะ

ภาพจาก canva.com

1. ส่วนนำของเรื่อง (Preliminary Section) 

จะมีองค์ประกอบได้แก่ ปกนอก ใบรองปก และปกใน และมีส่วนที่สำคัญในส่วนนำ คือ บทคัดย่อจะเป็นส่วนที่สรุปของวิทยานิพนธ์ ซึ่งจะกล่าวถึงสาเหตุของปัญหา วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการวิจัย ผลของการวิจัย และข้อเสนอแนะแบบย่อ จะทำการจัดพิมพ์ในรูปแบบภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ควรที่จะทำแบบแยกหน้ากัน ต่อมาจะตามด้วยสารบัญเนื้อหา สารบัญตาราง และสารบัญภาพ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นส่วนท้ายสุดที่เราจะทำเมื่อส่วนของเนื้อความเสร็จแล้ว

บทที่ 1 บทนำ (Introduction) ควรเขียนให้เห็นถึงประเด็นที่สำคัญของเนื้อเรื่องว่าเรื่องที่คุณสนใจนั้นมีความเป็นมาอย่างไร ปัจจัยอะไรที่ทำให้ก่อเกิดปัญหาจนทำให้นำมาทำการวิจัยพัฒนาให้ดีขึ้น ซึ่งส่วนประกอบของบทนำความที่จะมีเนื้อหาในการนำเสนอดังนี้

ที่มาและความสำคัญ เป็นการกล่าวถึงสาเหตุ หรือที่มาของการศึกษาค้นคว้าวิจัย บอกถึงปัญหาที่ต้องจะทำ 

คำถามของการวิจัย กำหนดขึ้นเพื่อหาคำตอบของคำถาม ซึ่งนำไปสู่การหาวิธีแก้ไขปัญหา กำหนดคำถามให้ชัดเจนไม่กำกวมเขียนจากสภาพความเป็นจริง และสื่อถึงปัญหาโดยตรง

วัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์จะต้องมีความเป็นไปได้ มีการวัดประเมินระบุสิ่งที่ต้องกดำเนินการให้ชัดเจนมีความเป็นเหตุเป็นผล มีขอบเขตในเรื่องของเวลาที่แน่นอน

สมมุติฐานการวิจัย  บรรยายสรุปโดยแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาที่คุณจะทำการศึกษาพร้อมนำเสนอประเภทของงานออกแบบที่สามารถนำมาใช้เพื่อการแก้ปัญหา ต้องมีความสอดคล้อง หรือเหมาะสมที่จะใช้ทฤษฏีเข้าไปช่วยในการแก้ปัญหาอย่างไร

ขอบเขตของการวิจัย ให้พิจารณาจากปัญหา และวัตถุประสงค์ที่ทำการศึกษาเรื่องนั้นๆ จำเป็นที่จะต้องกำหนดจำนวนเรื่องที่จะทำเป็นสิ่งอ้างอิงหรือยืนยันได้ว่าผลของการศึกษาเรื่องนั้นมีความน่าเชื่อถือ

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ การเขียนในเรื่องนี้ให้พิจารณาจากการเขียนวัตถุประสงค์เป็นข้อๆ หรือเขียนพรรณนาไม่ต้องแบ่งเป็นข้อก็ได้

นิยามศัพท์เฉพาะ เป็นการกำหนดคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยขึ้นมา ให้ความหมายเฉพาะเจาะจงกับประเด็นของงานที่ทำ และเกี่ยวข้องกับการทำวิจัย

กรอบแนวคิดการวิจัย ผลจากการสรุปการศึกษา และทดลองทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการวิจัย ผู้วิจัยจะต้องมีกรอบพื้นฐานทางทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับปัญหา

บทที่ 2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (Review of Literature) เป็นการที่ผู้เขียนสรุปผลการศึกษาของงานวิจัยที่คล้ายกับเรื่องที่จะศึกษามาสอดคล้องให้เห็นถึงปัญหา และวิธีพัฒนาในแต่ละแบบของงานวิจัย ซึ่งแต่ละงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะมีประเด็นการศึกษา และพื้นที่ที่แตกต่างกันออกไป เราสามารถหยิบยกเนื้อหาที่สอดคล้องกับงานวิจัยของเรามาวิเคราะห์ได้ ส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับการที่จะเขียนบทที่ 2 นั้นมีอยู่ 3 ส่วนดังนี้

เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง คือความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจจะทำประวัติของเรื่องนั้นๆ ข้อมูลของประเด็นปัญหาที่เกี่ยวของกับระบบงานที่จะศึกษา

ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง คือกลุ่มของความสัมพันธ์ของแนวคิดนิยาม และองค์ประกอบต่างๆ ที่ใช้อธิบายลักษณะของปรากฏการณ์หนึ่ง ทฤษฎีช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มตัวแปรต่างๆ โดยจะเจาะจงไปว่าตัวแปรใดสัมพันธ์กับตัวแปรใด และมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวิจัยเป็นงานที่สำคัญของผู้วิจัยที่มีประสบการณ์จะทำเป็นสิ่งแรกเมื่อได้ปัญหาวิจัยมาผลจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องทำให้ทราบว่านักวิจัยท่านอื่นๆ ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับปัญหาวิจัยของตนไว้อย่างไรบ้าง งานที่นักวิจัยท่านอื่นเคยทำมาก่อนนำมาอ้างอิงกับการศึกษาของตนเอง

บทที่ 3 วิธีการวิจัย (Research Methodology) เป็นการอธิบายวิธีขั้นตอนในการทำการศึกษาวิจัยอย่างละเอียดว่าต้องใช้เครื่องมืออย่างไร รวมไปถึงการอธิบายถึงขั้นตอนการคำนวณต่างๆ  ในส่วนของบทที่ 3 จะเป็นขั้นตอน การกำหนดปัญหา วางแผนออกแบบ กำหนดกลุ่ม การเก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูลสรุป และรายงาน ตีความหมาย แล้วจึงจะทำการเขียนรายงานการวิจัยถือว่าเป็นการเสร็จงานในขั้นตอนของบทที่ 3 อย่างสมบูรณ์

บทที่ 4 ผลการวิจัย (Results) เป็นการแสดงผลการวิจัยให้ชัดเจนโดยอาจจะใช้ กราฟ ตาราง หรืออื่นๆ ที่เหมาะสม การเขียนบทที่ 4 ให้กำหนดหัวข้อตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ใบบทที่ 1 โดยจะต้องเสนอผลไปตามลำดับของวัตถุประสงค์ โดยการเขียนจะเป็นแบบบรรยายให้เข้าใจง่าย การเขียนข้อมูลในบทนี้จะเป็นการนำไปใช้สำหรับการสร้างสรรค์การออกแบบเพื่อเป็นการแก้ปัญหาตามโจทย์ของการวิจัย

บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ (Conclusions Discussion and Recommendations) ในส่วนนี้จะเป็นการสรุปเนื้อหาสาระที่ได้ศึกษามาทั้งหมดโดยจะต้องอ้างอิงถึงวัตถุประสงค์ อ้างอิงทฤษฏีที่เกี่ยวข้องมาสนับสนุนให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ไปจนถึงเสนอแนะแนวทางเพื่อการศึกษาวิจัยในเรื่องเดียวกันนี้ต่อไป

3. ส่วนประกอบท้ายเรื่อง (Reference Section) ประกอบไปด้วย 3 ส่วน  ได้แก่ 

รายการอ้างอิง (References) เป็นการอ้างอิงถึงชื่อหนังสือ หรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ ที่นำมาประกอบการในการเขียนวิทยานิพนธ์

ภาคผนวก (Appendix) เป็นส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมาเพื่อช่วยเสริมความเข้าใจในเนื้อหาสาระของเรื่องนั้นๆ อาจมีหรือไม่มีก็ได้ตามความเหมาะสม

ประวัติผู้เขียน (Biography) เป็นประวัติโดยย่อของผู้ที่ทำวิทยานิพนธ์

ซึ่งเนื้อหาที่กล่าวมาข้างต้นจะทำให้การทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทไม่ยากอย่างที่คิดหากคุณนำเคล็ดลับที่เราได้ให้ในบทความนี้ ไปใช้ประโยชน์ในการทำวิทยานิพนธ์ของคุณ ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวจะสามารถทำให้งานวิทยานิพนธ์ของคุณมีความน่าเชื่อถือ และเป็นที่ยอมรับได้จนนำออกตีพิมพ์วารสารต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้ไม่มากก็น้อย

ช่องทางติดต่อ
Tel: 0924766638 คุณอาจุ้ย
อีเมล: ichalermlarp@gmail.com
LINE: @impressedu
(หยุดทุกวันอาทิตย์)

การว่าจ้างทำงานวิจัย_ว่าจ้างทำงานวิจัย_ความเครียดกับการทำงานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_งานวิจัย คุณภาพ_ทำงานวิจัย_เคล็ดลับการทำงานวิจัย_บริการงานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย ราคา_บริการงานวิทยานิพนธ์_บริการรับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_รับทำวิทยานิพนธ์_การทำงานวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_บริการงานดุษฎีนิพนธ์_บริการรับทำดุษฎีนิพนธ์_รับทำดุษฎีนิพนธ์ ราคา_รับทำดุษฎีนิพนธ์_การทำงานดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_เทคนิคทำงานวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท_วิทยานิพนธ์ป. โท_การเขียนวัตถุประสงค์การวิจัย_วัตถุประสงค์การวิจัย_หัวข้องานวิทยานิพนธ์_หัวข้องานวิจัย_หัวข้องานดุษฎีนิพนธ์_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_งานวิจัยปริญญาตรี_งานวิจัยปริญญาโท_การทำ IS_การทำสารนิพนธ์_ทักษะการทำงานวิจัย_ทักษะพื้นฐานงานวิจัย_วิจัยการตลาด_บทคัดย่อ (Abstract) _การเขียนบทคัดย่อ_การเขียนบทความ_การทำโปรเจคจบ_โปรเจคจบ_การทำ PowerPoint_การนำเสนองาน (Presentation)_การทำ Presentation

3 เทคนิคการตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาโทให้ผ่านง่ายๆ

ในการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท (Thesis) ปัญหาอย่างแรกที่เจอคือ การตั้งชื่อหัวข้อในการทำวิทยานิพนธ์ เช่น

– จะทำหัวข้อเกี่ยวกับอะไรดี?
– หัวข้ออะไรที่จะได้รับความสนใจ? 
– หัวข้อนี้จะผ่านความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยวิจัยไหม? 
– ทำแล้วซ้ำกับคนอื่นที่เขาทำมาหรือไม่?
 

และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องผ่านไปให้ได้ในก้าวแรกคือ การตั้งหัวข้ออย่างไรให้น่าสนใจ ให้ผ่านความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยวิจัยอย่างง่ายๆ เพื่อที่ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ให้ก้าวไปจนประสบผลสำเร็จ

ซึ่งในบทความนี้ทางเราได้นำเสนอ 3 เทคนิคการตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาโทให้ผ่านง่ายๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ตามความแนวทางต่างๆ ดังนี้

1. ตั้งหัวข้อให้ตรงกับสาขาที่ศึกษาอยู่

การตั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาโทตั้งอย่างไรให้ผ่านง่ายๆ นั้น สิ่งสำคัญประการแรก คือ ต้องตั้งหัวข้อให้ตรงกับสาขาวิชาที่ตนเองเรียน เนื่องจากในแต่ละสาขาวิชาจะมีหลักการ แนวคิด ปรัชญา ทฤษฎี มีคำศัพท์เทคนิคต่างๆ ที่ต้องนำมาอ้างอิงที่แตกต่างกันไป

การว่าจ้างทำงานวิจัย_ว่าจ้างทำงานวิจัย_ความเครียดกับการทำงานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_งานวิจัย คุณภาพ_ทำงานวิจัย_เคล็ดลับการทำงานวิจัย_บริการงานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย ราคา_บริการงานวิทยานิพนธ์_บริการรับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_รับทำวิทยานิพนธ์_การทำงานวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_บริการงานดุษฎีนิพนธ์_บริการรับทำดุษฎีนิพนธ์_รับทำดุษฎีนิพนธ์ ราคา_รับทำดุษฎีนิพนธ์_การทำงานดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_เทคนิคทำงานวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท_วิทยานิพนธ์ป. โท_การเขียนวัตถุประสงค์การวิจัย_วัตถุประสงค์การวิจัย_หัวข้องานวิทยานิพนธ์_หัวข้องานวิจัย_หัวข้องานดุษฎีนิพนธ์_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_งานวิจัยปริญญาตรี_งานวิจัยปริญญาโท_การทำ IS_การทำสารนิพนธ์_ทักษะการทำงานวิจัย_ทักษะพื้นฐานงานวิจัย_วิจัยการตลาด_บทคัดย่อ (Abstract) _การเขียนบทคัดย่อ_การเขียนบทความ_การทำโปรเจคจบ_โปรเจคจบ_การทำ PowerPoint_การนำเสนองาน (Presentation)_การทำ Presentation

หากการตั้งหัวข้อในการทำวิทยานิพนธ์ได้สอดคล้องกับสาขาที่ตนเองเรียนแล้ว ถือว่าเป็นการปลดล๊อคปัญหาขั้นแรกในการทำวิทยานิพนธ์ได้เลยทีเดียว เปรียบเสมือนเรามีเข็มทิศที่จะนำพาเราไปสู่ปลายทางอย่างถูกต้องได้

ซึ่งหัวข้อนี้ใครหลายคนอาจจะมีความสนใจในสาขาอื่นๆ ด้วย แต่ไม่สามารถนำหัวข้ออื่นๆ ที่อยู่นอกสาขาที่ศึกษามาใช้ในการตั้งหัวข้อได้ แต่สามารถนำความรู้สาขาอื่นมาใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนหัวข้อของตนเองได้  

2. ใช้วิธีการเก็บข้อมูลให้เป็นประโยชน์ให้ผ่านง่ายๆ

การทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท มีหลากหลายอย่างที่สามารถนำมาเป็นองค์ประกอบในการตั้งหัวข้อ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกงานวิทยานิพนธ์จะต้องดำเนินการได้แก่ การกำหนดระเบียบวิธีวิจัย การเก็บข้อมูลจะบ่งชี้ว่า งานวิทยานิพนธ์ชิ้นนั้นจะดำเนินการกับกลุ่มประชากรและกลุ่มตัวอย่างใดบ้าง สถานที่ในการเก็บข้อมูลมีพื้นที่ใดบ้าง เพื่อจำกัดขอบเขตการทำวิทยานิพนธ์ให้เหมาะสม 

ทำงานวิจัย_เคล็ดลับการทำงานวิจัย_บริการงานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย ราคา_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_บริการงานวิทยานิพนธ์_บริการรับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_รับทำวิทยานิพนธ์_การทำงานวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_บริการงานดุษฎีนิพนธ์_บริการรับทำดุษฎีนิพนธ์_รับทำดุษฎีนิพนธ์ ราคา_รับทำดุษฎีนิพนธ์_การทำงานดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_บริการรับทำวิจัย.com_เทคนิคทำงานวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท_วิทยานิพนธ์ป. โท_การเขียนวัตถุประสงค์การวิจัย_วัตถุประสงค์การวิจัย_หัวข้องานวิทยานิพนธ์_หัวข้องานวิจัย_หัวข้องานดุษฎีนิพนธ์_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_ Proposal_เขียนโครงร่างงานวิจัย_งานวิจัยปริญญาตรี_งานวิจัยปริญญาโท

รวมทั้งการอาศัยวิธีการเก็บข้อมูลมาใช้ในการตั้งหัวข้อตั้งอย่างไรให้ผ่านง่ายๆ อาศัยปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อให้การกำหนดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องเที่ยงตรง นำมาสู่การทำวิทยานิพนธ์ได้ถูกต้อง ทำให้สามารถตอบปัญหาที่สนใจได้อย่างกระจ่างชัด เช่น ประสบการณ์เดิม ภูมิความรู้เดิมของผู้ทำ การนำหัวข้อราวที่เคยเจอมาตั้งหัวข้อในการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท จึงต้องมีวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่แตกต่างกันไปด้วย  

3. ตั้งหัวข้อให้มีความใหม่นำไปสู่ความรู้และนวัตกรรมใหม่

เทคนิคการตั้งหัวข้อสำหรับการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ปัจจัยหัวข้อความใหม่ เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องนำมาประกอบการตั้งหัวข้อในการทำวิทยานิพนธ์ เช่น เมื่อทำแล้วจะทำให้ค้นพบความรู้ใหม่อย่างไร เกิดแนวคิด ทฤษฎีใหม่ และนวัตกรรมต่างๆ หรือไม่ 

บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย_การทำงานวิจัย_งานวิจัย_ข้อมูลงานวิจัย_จ้างทำวิจัย 5 บท_รับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_บริการรับทำวิจัย.com_งานวิจัย คุณภาพ_ทำงานวิจัย_เคล็ดลับการทำงานวิจัย_บริการงานวิจัย_บริการรับทำวิจัย_รับทำวิจัย ราคา_บริการงานวิทยานิพนธ์_บริการรับทำวิทยานิพนธ์_รับทำวิทยานิพนธ์ ราคา_รับทำวิทยานิพนธ์_การทำงานวิทยานิพนธ์_งานวิทยานิพนธ์_บริการงานดุษฎีนิพนธ์_บริการรับทำดุษฎีนิพนธ์_รับทำดุษฎีนิพนธ์ ราคา_รับทำดุษฎีนิพนธ์_การทำงานดุษฎีนิพนธ์_งานดุษฎีนิพนธ์_เทคนิคทำงานวิจัย_ปัญหางานวิจัย_ข้อผิดพลาดในการทำวิจัย_กำหนดปัญหางานวิจัย_การเลือกหัวข้องานวิจัย_การทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท_วิทยานิพนธ์ป. โท_การเขียนวัตถุประสงค์การวิจัย_วัตถุประสงค์การวิจัย_หัวข้องานวิทยานิพนธ์_หัวข้องานวิจัย_หัวข้องานดุษฎีนิพนธ์_หัวข้อวิจัย การท่องเที่ยว_วิจัยหัวข้อ_งานวิจัยปริญญาตรี_งานวิจัยปริญญาโท_การทำ IS_การทำสารนิพนธ์_ทักษะการทำงานวิจัย_ทักษะพื้นฐานงานวิจัย_วิจัยการตลาด_บทคัดย่อ (Abstract) _การเขียนบทคัดย่อ_การเขียนบทความ_การทำโปรเจคจบ_โปรเจคจบ

การตั้งหัวข้อนั้นต้องคำนึงถึงความรู้ที่แปลกใหม่ นวัตกรรมใหม่ที่จะเกิดหลังดำเนินการ หากทราบได้แน่นอนแล้วว่าหัวข้อที่ตั้งขึ้นนั้นซ้ำกับคนอื่นๆ ที่ทำมาแล้ว สามารถเปลี่ยนแปลงหัวข้อหัวข้อนั้นๆได้อย่างรวดเร็วก่อนลงมือปฏิบัติจริง

3 เทคนิคการตั้งหัวข้อที่กล่าวมาข้างต้น มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทให้สำเร็จ เพราะหัวข้อคือการกำหนดขอบเขตในการวิทยานิพนธ์ หากสามารถกำหนดได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นจะส่งผลให้การทำวิทยานิพนธ์นั้นประสบผลสำเร็จได้ง่ายกว่าที่คุณคิด